วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ข้อแตกต่างวิ่งราวทรัพย์กับยักยอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568
ป.อ. ม. 352 วรรคหนึ่ง
ป.วิ.อ. ม. 192 วรรคสาม
             จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้ โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง 
             การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครอง แล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วม โดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วม แล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง
            คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์ จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

สวมหมวกนิรภัยอำพรางใบหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2568
ป.อ. ม. 335 (5), ม. 339, ม. 340 ตรี
             ในการชิงทรัพย์ จำเลยสวมหมวกนิรภัย ทั้งเมื่อพิจารณาภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดก่อนเกิดเหตุปรากฏว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพัก โดยจำเลยมิได้สวมหมวกนิรภัย แต่ช่วงเวลาที่จำเลยก่อเหตุชิงทรัพย์คดีนี้แล้วหลบหนีไป จำเลยสวมหมวกนิรภัย หากจำเลยมีเจตนาที่จะป้องกันภยันตรายจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย อันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยเคร่งครัด ไม่มีเจตนาที่จะปิดบังอำพรางใบหน้าในการกระทำความผิดแล้ว จำเลยย่อมต้องสวมหมวกนิรภัยมาตั้งแต่ขณะขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพัก การที่จำเลยเพิ่งสวมหมวกนิรภัยก่อนเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ว่า จำเลยมีเจตนาสวมหมวกนิรภัยเพื่อปิดบังใบหน้า อันเป็นการทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้ในขณะก่อเหตุชิงทรัพย์ หาใช่เป็นการสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์บนท้องถนน อันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกตามที่จำเลยฎีกาไม่ 
              เมื่อขณะก่อเหตุชิงทรัพย์ จำเลยปิดบังใบหน้าด้วยหมวกนิรภัย อันเป็นการทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้ และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม จึงเป็นการชิงทรัพย์ที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 335 (5) วรรคหนึ่ง จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี

ลักทรัพย์ผู้บุพการี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2568
ป.อ. ม. 71, ม. 335, ม. 336 ทวิ
ป.วิ.อ. ม. 39 (2), ม. 40, ม. 46, ม. 195, ม. 225
            ความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ใน ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง บัญญัติว่า ความผิดดังกล่าวถ้าเป็นการกระทำที่ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ มาด้วย แต่มาตรา 336 ทวิ เป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดอาญา มาตรา 335 ต้องระวางโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากจากบทมาตราดังกล่าวไม่ การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จึงเข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง แล้ว 
             เมื่อผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ในส่วนข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะสำหรับจำเลยที่ 1 แล้ว สิทธิการนำคดีอาญาในความผิดฐานดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) และ การที่ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ย่อมเป็นผลให้คำขอในส่วนแพ่งสำหรับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย 950 บาท ตกไปด้วย แม้จำเลยที่ 1 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560

จัดเรียงบทความ

ลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์

กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์
               -  ผิดฐานกรรโชก
               -  ชิงทรัพย์
               -  ปล้นทรัพย์

ฉ้อโกง 
   
โกงเจ้าหนี้ 
               -  โกงเจ้าหนี้

ยักยอก

รับของโจร
               -  เจตนารับของโจร

ทำให้เสียทรัพย์

บุกรุก
               -  บุกรุกอสังหาริมทรัพย์

กรณีเช่าซื้อทรัพย์ ซื้อขายรถ

กรณีที่เกี่ยวข้อง

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สามีร่วมกับผู้อื่นลักทรัพย์ภริยาในเหตุฉกรรจ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3756 - 3757/2550
ป.อ. มาตรา 71 วรรคแรก, 335 (7), 336 ทวิ
              คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์  เรียกนางพัชรี โจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ร่วม  เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1  และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า  จำเลยที่ 2
              โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 336 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 36,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
             จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
             ระหว่างพิจารณานางพัชรี ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นอนุญาต
             ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก มาตรา 336 ทวิ
             โจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
             ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหาย จึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคแรก ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
             โจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนฎีกา
              ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายตั้งแต่ปี 2520 และขณะจำเลยที่ 1 กระทำความผิดยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน คดีนี้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคแรก ที่บัญญัติว่าความผิดดังกล่าวถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยาผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของโจทก์ร่วมจึงไม่ต้องรับโทษในความผิดดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะระบุว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ มาด้วย แต่ตามมาตรา 336 ทวิ เป็นบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดอาญา มาตรา 335 ต้องระวางโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดอีกบทหนึ่งต่างหากจากบทมาตราดังกล่าวไม่
            การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคแรก แล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับโทษในความผิดดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น

ประมวลกฎหมายอาญา
            "มาตรา 71  ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364 นั้น ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา หรือภริยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ
              ความผิดดังระบุมานี้ ถ้าเป็นการกระทำ ที่ผู้บุพการีกระทำ ต่อผู้สืบสันดาน ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกัน แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้นศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"
            "มาตรา 335  ผู้ใดลักทรัพย์
                  (1) ...
                  (7) โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
             ....    "
            "มาตรา 336 ทวิ  ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 334 มาตรา 335 มาตรา 335 ทวิ หรือมาตรา 336 โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง"

ข้อพิจารณา.-
            -  สามีภริยาต้องจดทะเบียนสมรสกันและไม่ได้จดทะเบียนหย่าแม้ว่าจะแยกกันอยู่ก็ตาม จึงจะเข้าหลักเกณฑ์ที่ไม่ต้องรับโทษ
            -  ผู้ที่ร่วมกระทำผิดซึ่งเป็นบุคคลอื่นต้องรับโทษนั้นโดยไม่ได้รับการยกเว้นโทษ แม้ว่าสามีหรือภริยาที่เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นไม่ต้องรับโทษก็ตาม
            -  แม้ว่ามาตรา 71 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติมาตรา 336 ทวิ เอาไว้ด้วยก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นกรณีกระทำความผิดตามมาตรา 336 ทวิ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 335 (7) นั้นกึ่งหนึ่ง กฎหมายถือว่ามาตรา 336 ทวิ เป็นเพียงบทเพิ่มโทษมาตรา 335 หาใช่ความผิดอีกบทหนึ่งแยกต่างหากจากกัน ผู้กระทำความผิดจึงไม่ต้องรับโทษด้วยเหตุความเป็นสามีภริยากันตามมาตรา 71 วรรคแรก
            -  มาตรา 71 วรรคแรก บัญญัติให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ แต่ไม่ได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ดั่งเช่นวรรคสอง ดังนั้น สามีหรือภริยาที่เป็นผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจขอถอนคำร้องทุกข์