วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ชิงทรัพย์

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 8790/2554
ป.อ.  ชิงทรัพย์  (มาตรา 339)
              ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ที่เกิดเหตุเป็นสี่แยก ขณะนั้นไม่มีรถสัญจรผ่านไปมา ผู้เสียหายไม่รู้จักจําเลยกับพวกมาก่อน การที่พวกจําเลยขับรถแซงและปาดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายหยุดรถทันทีและตะคอกด่าพร้อมกับพูดว่ามีอะไรส่งมาให้หมด โดยจําเลยกับพวกแสดงสีหน้าขึงขังเช่นนี้ แม้พวกจําเลยจะไม่ได้พูดว่าหากไม่ส่งสิ่งของให้จะทำร้ายผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ของจําเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการคุกคามผู้เสียหายให้กลัวว่าจะถูกทำร้ายหากไม่ส่งทรัพย์สินให้ จึงเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งกิริยาและวาจาโดยมีความหมายว่า ถ้าผู้เสียหายไม่ให้สิ่งของใดแล้วผู้เสียหายจะถูกทําร้าย จนผู้เสียหายกลัวต้องรีบส่งกระเป๋าสะพายให้จําเลย หาใช่เรื่องที่ผู้เสียหายรู้สึกกลัวไปเองไม่
             การกระทําดังกล่าวจึงเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้ายเพื่อให้ผู้เสียหายยื่นให้ซึ่งทรัพย์อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ มิใช่ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ เมื่อขณะเกิดเหตุจําเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คันเดียวกันกับพวกและแม้จำเลยจะไม่ได้พูดกับผู้เสียหาย แต่เมื่อผู้เสียหายยื่นทรัพย์ให้จําเลยก็รับไว้ แล้วจําเลยกับพวกก็ขับรถจักรยานยนต์หนีไปด้วยกันทันที ถือเป็นการแบ่งหน้าที่กันทําอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2554
ป.อ. ชิงทรัพย์ (มาตรา 339)
               แม้ขณะที่จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป จำเลยไม่ได้พูดหรือทำกิริยาอาการอย่างใดที่ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่หลังจากจำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว ขณะที่จะหลบหนี ผู้เสียหายคว้าคอเสื้อของจำเลยไว้ จำเลยดิ้นรนขัดขืนแล้วใช้แขนเหวี่ยงถูกผู้เสียหายเซไป จำเลยกระทำโดยมีเจตนาขู่เข็ญไม่ให้ผู้เสียหายขัดขวางการพาทรัพย์ไปและหลบหนี การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังต่อเนื่องเกี่ยวพันกันโดยตลอดและยังไม่ขาดตอนจากการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายโดยทุจริต เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์