มาตรา ๓๔๙ ผู้ใดเอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์อันตนจำนำไว้แก่ผู้อื่น ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๕๐ ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๕๑ ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
คำพิพากษาของศาลฎีกาเลขที่ ๔๓๘๐/๒๕๕๗
ป.อ. มาตรา ๓๕๐
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๓๕๐,๐๐๐ บาท ตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์มีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยว่าหากไม่นำ เงินมาชำระหนี้ภายในกำหนด ๒๐ วัน จะดำเนินการตามกฎหมาย ทันที แสดงว่าโจทก์จะใช้สิทธิทางศาลแล้ว เมื่อจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้และทราบดีว่าโจทก์จะใช้สิทธิทางศาล การที่จำเลยโอนขายที่ดินพร้อมบ้านซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่เพียงอย่างเดียวให้นาง ฉ. โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยโอนขายที่ดิน พร้อมบ้านโดยมีเจตนาเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๖๗/๒๕๕๑
ป.อ. มาตรา ๓๕๐
โจทก์ทราบว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ โอนที่ดินให้ ท. โจทก์ย่อมมีสิทธิเลือกที่จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยกับ ท. หรือฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาก็ได้
การที่โจทก์เลือกใช้สิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ เมื่อจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ ท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๗๓/๒๕๕๑
ป.อ. มาตรา ๓๕๐
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ แต่เมื่อร้องทุกข์แล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ และขอให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๓๕,๐๐๘,๑๖๓.๙๒ บาท มาด้วย ทั้งโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาต
ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีดังกล่าวและมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๓๕,๐๐๘,๑๖๓.๙๒ บาท ด้วย เท่ากับว่า โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แล้ว
ขณะจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งสองได้หย่ากันแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าให้จำเลยที่ ๒ ไปดำเนินการโอนที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ แต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้น จำเลยที่ ๒ ยังนำที่ดินไปจำนองด้วย แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาโอนที่ดินไปเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ได้รับชำระหนี้ประกอบกับคำว่า “ผู้อื่น” ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐ หมายถึง บุคคลอื่นนอกจากตัวลูกหนี้ การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์ จึงเป็นการโอนทรัพย์สินไปให้แก่ผู้อื่นแล้ว ส่วนต่อมาโจทก์สามารถสืบหาติดตามทรัพย์สินนำมาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใด เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามมาตรา ๓๕๐
มาตรา ๓๕๐ ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๕๑ ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
คำพิพากษาของศาลฎีกาเลขที่ ๔๓๘๐/๒๕๕๗
ป.อ. มาตรา ๓๕๐
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๓๕๐,๐๐๐ บาท ตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์มีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยว่าหากไม่นำ เงินมาชำระหนี้ภายในกำหนด ๒๐ วัน จะดำเนินการตามกฎหมาย ทันที แสดงว่าโจทก์จะใช้สิทธิทางศาลแล้ว เมื่อจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้และทราบดีว่าโจทก์จะใช้สิทธิทางศาล การที่จำเลยโอนขายที่ดินพร้อมบ้านซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่เพียงอย่างเดียวให้นาง ฉ. โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยโอนขายที่ดิน พร้อมบ้านโดยมีเจตนาเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๖๗/๒๕๕๑
ป.อ. มาตรา ๓๕๐
โจทก์ทราบว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ โอนที่ดินให้ ท. โจทก์ย่อมมีสิทธิเลือกที่จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยกับ ท. หรือฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาก็ได้
การที่โจทก์เลือกใช้สิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ เมื่อจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ ท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๗๓/๒๕๕๑
ป.อ. มาตรา ๓๕๐
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ แต่เมื่อร้องทุกข์แล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ และขอให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๓๕,๐๐๘,๑๖๓.๙๒ บาท มาด้วย ทั้งโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาต
ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในคดีดังกล่าวและมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๓๕,๐๐๘,๑๖๓.๙๒ บาท ด้วย เท่ากับว่า โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้แล้ว
ขณะจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งสองได้หย่ากันแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าให้จำเลยที่ ๒ ไปดำเนินการโอนที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ แต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้น จำเลยที่ ๒ ยังนำที่ดินไปจำนองด้วย แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาโอนที่ดินไปเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ได้รับชำระหนี้ประกอบกับคำว่า “ผู้อื่น” ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๐ หมายถึง บุคคลอื่นนอกจากตัวลูกหนี้ การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์ จึงเป็นการโอนทรัพย์สินไปให้แก่ผู้อื่นแล้ว ส่วนต่อมาโจทก์สามารถสืบหาติดตามทรัพย์สินนำมาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใด เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามมาตรา ๓๕๐